วันพฤหัสบดีที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

Chevrolet เปิดตัว Corvettes Stingray แต่งเตะตาสามรุ่นที่งาน SEMA Show

Chevrolet เผยโฉม Corvettes Stingray มัสเซิลคาร์แต่งสวยสามรุ่นที่งานแสดงรถแต่ง SEMA Show 2013 ในสหรัฐอเมริกา
เริ่มจากรุ่นแรก Corvettes Stingray Gran Turismo เฉลิมฉลองการครบรอบ 15 ปีของเกมรถแข่งสุดมันส์อย่าง Gran Turismo มาพร้อมบอดี้คิทคาร์บอนไฟเบอร์ที่ประกอบด้วยกันชนหน้า ฝากระโปรงแบบมีช่องระบายความร้อนและสเกิร์ตด้านข้างแอโรไดนามิก ติดตั้งไฟหน้าเคลือบสีเหลือง กระจังหน้าดีไซน์ใหม่และท่อไอเสียชุดใหม่ ตลอดจนลวดลายกราฟฟิกในสไตล์เดียวกับเกม Gran Turismo
http://www.autospinn.com/wp-content/uploads//2013/11/20050881681766372964.jpg

ในห้องโดยสารใช้เบาะที่นั่ง Competition Sport เข็มขัดนิรภัยเกรดรถแข่งและพวงมาลัยแบบตัดตรงสุดสปอร์ต
รุ่นต่อมาคือ Corvettes Stingray Atlantic Convertible โดดเด่นด้วยสไตล์และการตกแต่งอันหรูหราแบบเครื่องบินส่วนตัว ภายนอกสวมสเกิร์ตรอบคัน พร้อมมีดิฟฟิวเซอร์รีดอากาศที่บั้นท้าย ภายในหุ้มหนังกลับเกือบทั้งหมด ล้ออัลลอยแบบห้าก้านมีทั้งขนาด 19 นิ้วและ 20 นิ้ว
สำหรับรุ่นสุดท้าย Corvettes Stingray Pacific Coupe ตกแต่งต่อยอดจากรุ่น Z51 ดุดันด้วยสีดำสลับแดง สวมลิ้นสปอยเลอร์หน้า ฝากระโปรงคาร์บอนไฟเบอร์และสเกิร์ตด้านข้าง คาดเส้นสายกราฟฟิกสีดำ Carbon Flash จากกระโปรงหน้าถึงท้ายรถ ใช้ล้ออัลลอยขนาด 19 นิ้วและ 20 นิ้ว
ในห้องโดยสารของเวอร์ชั่น Pacific Coupe มีทั้งเบาะ Competition Sport พวงมาลัยแบบตัดตรงและการตกแต่งด้วยคาร์บอนไฟเบอร์

เปิดผ้าคลุม 2014 Honda Civic Coupe มาพร้อมเวอร์ชั่นแรงรหัส “Si”

Honda เปิดตัว 2014 Civic Coupe รุ่นปรับโฉมไมเนอร์เชนจ์ภายในงานแสดงรถแต่ง SEMA Show 2013 ที่นครลาสเวกัส สหรัฐอเมริกา ต่อเนื่องจากการปรับโฉมเวอร์ชั่นซีดานไปตั้งแต่ปีที่แล้ว
บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ยักษ์ใหญ่จากญี่ปุ่นระบุว่า ข้อมูลฉบับเต็มและราคาจำหน่ายจะได้รับการเปิดเผยอีกครั้งที่งานลอสแองเจลิส ออโต้โชว์ ที่จะเปิดฉากในวันที่ 22 พฤศจิกายนนี้ ดังนั้น ผู้เข้าชมงาน SEMA จะได้สัมผัสกับรูปโฉมอันโฉบเฉี่ยวของ 2014 Civic Coupe ไปก่อน
สำหรับ 2014 Civic Coupe มาพร้อมกับการปรับดีไซน์รอบคัน เริ่มจากด้านหน้าทั้งกระจัง กรอบไฟ กันชน ฝากระโปรงและซุ้มล้อใหม่ทั้งหมด เช่นเดียวกับกรอบเลนส์ไฟท้าย กันชนหลัง กระจกมองข้างและล้ออัลลอยก็ถูกยกเครื่องใหม่
http://www.autospinn.com/wp-content/uploads//2013/11/2014-Honda-Civic-Coupe-172.jpg
ขณะที่เวอร์ชั่นแรง Civic Si Coupe มีสไตล์ตัวถังที่ดูดุดันยิ่งกว่า อย่างกันชนหน้าที่เตี้ยกว่ารุ่นปกติ สปอยเลอร์หลังขนาดใหญ่ กันชนหลังรูปแบบใหม่ที่มาพร้อมแผงดิฟฟิวเซอร์ในตัว ตลอดจนล้ออัลลอยขนาดใหญ่ 18 นิ้ว
วิศวกรของ Honda ยังทำการปรับระบบระบายไอเสียใหม่เพื่อรีดพละกำลังจากเครื่องยนต์ 4 สูบ 2.4 ลิตรให้มีพละกำลังเพิ่มขึ้น 4 แรงม้าไปอยู่ที่ 205 แรงม้า ส่วนแรงบิดสูงขึ้น 4 ฟุต-ปอนด์เพิ่มขึ้นเป็น 174 ฟุต-ปอนด์
Honda ไม่ได้เปิดเผยถึงการเปลี่ยนแปลงในด้านแชสซีส์และห้องโดยสารของ 2014 Civic Coupe คงต้องรอถึงการเปิดข้อมูลฉบับเต็มที่แอลเอ

วอลโว่เตรียมเปิดตัว วี40 ครอสคันทรีุ ลุยตลาดรถเล็กจอมลุย

วอลโว่ คาร์ (ประเทศไทย) เตรียมเสริมไลน์สินค้าในประเทศไทย ด้วยการเปิดตัวรถเล็กขาลุยอย่างวี 40 ครอสคันทรี ที่จะมาพร้อมตัวถังไซส์กะทัดรัด เครื่องยนต์ขนาดเหมาะสม และระบบขับเคลื่อน 4 ล้อที่ถอดมาจากรุ่นพี่ทุกกระเบียดนิ้ว2013-volvo-v40-malaysia-6
รูปร่างหน้าตาอาจจะไม่แตกต่างจากวี40 ที่ทำการจำหน่ายในประเทศไทยมากนัก แต่ในตลาดโลก ครอสคันทรีจะมีการติดตั้งชุดแต่งให้ดูดุดันมากขึ้นเล็กน้อย ซึ่งรูปร่างและขนาดแทบจะหาความแตกต่างไม่ได้ ยกเว้นแต่สังเกตดีดีจะพบว่ารุ่นนี้จะสูงกว่ารุ่นปกติเล็กน้อย และมีตำแหน่งการนั่งของผู้ขับที่สูงกว่าเช่นกัน
2013-volvo-v40-malaysia-14
เครื่องยนต์ที่นำมาติดตั้ง คงหนีไม่พ้นเครื่องยนต์เบนซิน ที5 ขนาด 2.0 ลิตร ที่่ให้พละกำลัง 213 แรงม้าและแรงบิดระดับ 300 นิวตันเมตร ขณะที่เครื่องยนต์ 1.6 ลิตร จีทีดีไอที่มาพร้อมเทอร์โบนั้น แม้จะมีการผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซีย แต่ในประเทศไทยแล้วอาจจะยังไม่ถึงเวลา
2013-volvo-v40-malaysia-192013-volvo-v40-malaysia-11
วอลโว่ก็ยังเป็นบริษัทรถยนต์ที่เน้นเรื่องของความปลอดภัยติดตั้งมาเต็มพิกัด ระบบอำนวยความปลอดภัยทุกระบบถูกย่อส่วนและติดตั้งมาในรถคันนี้เช่นเดียวกัน ซึ่งหากชื่นชอบเทคโนโลยีใหม่ ๆ ก็เป็นรถที่น่าสนใจ
2013-volvo-v40-malaysia-21
ราคาจำหน่ายในรุ่นครอสคันทรีจะแพงกว่ารุ่นมาตรฐานเล็กน้อย เตรียมเงินไว้สัก 2 ล้านก็น่าจะพอสำหรับคันนี้…

เปิดตัวแล้ว Mazda CX-5 เทคโนโลยีสกายแอคทีฟ รุ่นเบนซินประหยัด 16.4 กม./ลิตร ดีเซล 18 กม./ลิตร


  • Honda-Brio-Prototype-Large
Mazda Sales Thailand ประกาศเปิดตัวเอสยูวีรุ่นใหม่ล่าสุดที่หลายคนรอคอย “All-New CX-5″ มาพร้อมเทคโนโลยีสกายแอคทีฟและรูปลักษณ์ที่ปราดเปรียวด้วยแนวคิด KODO Design เน้นสมรรถนะแบบสปอร์ตและความประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง การันตีรางวัลรถยนต์ยอดเยี่ยมในประเทศญี่ปุ่นประจำปี 2012
มาสด้า ซีเอ็กซ์-5 ใหม่ ALL New Mazda CX-5 จัดอยู่ในกลุ่มรถอเนกประสงค์ เป็นรถยนต์รุ่นแรกของการพัฒนารถเจนเนอเรชั่นที่ 6 ของมาสด้า ความสดใหม่ที่น่าสนใจและเป็นจุดขายหลัก คือ การที่มาสด้าใช้เทคโนโลยีใหม่ที่พัฒนาขึ้นมาอย่างเต็มรูปแบบ “เทคโนโลยีสกายแอคทีฟ” SKYACTIV Technology ในรถเจนเนอเรชั่นที่ 6 นี้ทุกรุ่น คู่กับธีมการดีไซน์รถใหม่ “โคโดะ” KODO: Soul of Motion หรือจิตวิญญาณแห่งการเคลื่อนไหว ที่เน้นในเรื่องการถ่ายทอดความสวยงามของพลังผ่านรูปทรงของรถ
http://www.autospinn.com/wp-content/uploads//2013/11/เครื่องยนต์เบนซิน-SKYACTIV.jpg

เครื่องยนต์สกายแอคทีฟเบนซิน สกายแอคทีฟ-จี (SKYACTIV-G):
การคิดค้นเครื่องยนต์เผาไหม้ในอุดมคติ เครื่องยนต์เบนซินเจนเนอเรชั่นใหม่ประสิทธิภาพสูง SKYACTIV-G 2.0L และ 2.5L ไดเร็กอินเจ็คชั่น ให้แรงบิดที่สูงในรอบเครื่องยนต์ต่ำช่วยให้เกิดอัตราการเร่งที่ดีให้การควบคุมอย่างแม่นยำดั่งใจผู้ขับขี่และให้การประหยัดน้ำมันที่ดีเยี่ยม เบื้องหลังความสำเร็จคือการบรรลุถึงค่าการอัดอากาศที่ 14.0:1* ระบบไอเสีย 4-2-1 การออกแบบความยาวท่อร่วมไอเสียที่ให้ประสิทธิภาพสูงสุดเพื่อลดอุณหภูมิสะสมที่สูงขึ้นเนื่องจากก๊าซไอเสียจากห้องเผาไหม้ จึงเป็นการป้องกันการเกิดการน็อค เนื่องจากการเผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์
ทำให้เครื่องยนต์ SKYACTIV-G 2.0L ให้แรงบิดสูงสุด 210 นิวตันเมตร ที่ 4,000รอบ และกำลังสูงสุด 165 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ อัตราบริโภคน้ำมัน 16.4 กม./ลิตร **
เครื่องยนต์ SKYACTIV-G 2.5L ให้แรงบิดสูงสุดถึง 256 นิวตันเมตร ที่ 3,250รอบ และกำลังสูงสุด 192 แรงม้า ที่ 5,700 รอบ อัตราบริโภคน้ำมัน 15.2 กม./ลิตร **
(*: ค่าการอัดอากาศ 14.0:1 ในรุ่นเครื่องยนต์ 2.0L และ 13.0:1 ในรุ่นเครื่องยนต์ 2.5L)
(**: อ้างอิงผลการทดสอบรถมาสด้า CX-5 ที่จำหน่ายในประเทศญี่ปุ่นตามมาตรฐานการทดสอบ JC08)
http://www.autospinn.com/wp-content/uploads//2013/11/เครื่องยนต์ดีเซลสะอาด-SKYACTIV.jpg

เครื่องยนต์สกายแอคทีฟดีเซลสะอาด สกายแอคทีฟ-ดี (SKYACTIV-D): 
แรงบิดสูงและการเผาไหม้สะอาด รอบจัด ตอบสนองดี และสนุกในการขับขี่มากกว่าเดิม: มาสด้าได้ยกระดับกำลังของเครื่องยนต์ดีเซลด้วย SKYACTIV-D 2.2L อัตราส่วนการอัดมีบทบาทสำคัญในฐานะที่เป็นกระบวนการภายในที่ได้ถูกปรับปรุงอย่างสมบูรณ์ ผลลัพธ์ที่ได้คือพลังงานที่มีประสิทธิภาพจากการออกแบบทางวิศวกรรมมาเพื่อบรรลุมาตรฐานสูงสุดด้านสิ่งแวดล้อมโดยไม่ต้องใช้ระบบบำบัดไอเสียพิเศษ การสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงลดลงประมาณ 20% (เมื่อเทียบกับเครื่องยนต์ดีเซล MZR-CD ขนาด 2.2 ลิตร ของมาสด้าในปัจจุบัน) เนื่องจากอัตราส่วนการอัดที่ต่ำถึง 14:1 และช่วงการขยายตัวมากขึ้นแบบต่อเนื่องหลังการเผาไหม้ ระยะยกวาล์วแปรผันด้านไอเสียทำให้การนำไอเสียกลับมาใช้ใหม่เกิดขึ้นภายในได้ สิ่งนี้ทำให้การเผาไหม้มีเสถียรภาพอย่างทันทีหลังสตาร์ทในขณะเครื่องยนต์เย็น เทอร์โบชาร์จเจอร์สองขั้น Two-stage Turbocharge เทคโนโลยีหัวฉีด Piezo ควบคุมองศาและละอองของน้ำมันด้วยความแม่นยำสูง ทำให้ตอบสนองได้อย่างรวดเร็วและต่อเนื่องตลอดช่วงความเร็วรอบ (สูงสุด 5,200 รอบต่อนาที) มีน้ำหนักลดลง
ทำให้เครื่องยนต์SKYACTIV-D 2.2L ให้แรงบิดสูงสุดถึง 420 นิวตันเมตร ที่ 2,000รอบ และกำลังสูงสุดถึง 175 แรงม้า ที่ 4,500 รอบ และยังประหยัดได้ถึง 18 กม./ลิตร **
(**: อ้างอิงผลการทดสอบรถมาสด้า CX-5 ที่จำหน่ายในประเทศญี่ปุ่นตามมาตรฐานการทดสอบ JC08)
http://www.autospinn.com/wp-content/uploads//2013/11/02.jpg

อุปกรณ์อำนวยความสะดวก
มาสด้า CX-5 ที่นั่งปรับควบคุมด้วยไฟฟ้าแบบ 8 ทิศทาง ระยะการปรับเลื่อนตำแหน่งเก้าอี้กว้างถึง 260 มม. เบาะนั่งปรับเอนได้มากสุดถึง 98 องศา และปรับระดับความสูงขึ้น-ลง ถึง 50 มม. เบาะนั่งปรับเอียงได้ 30 มม. (เฉพาะที่นั่งที่ปรับได้ 8 ทิศทาง) มาสด้า CX-5 ใช้นวัตกรรมการออกแบบที่ไม่เหมือนใคร ให้ความยืดหยุ่นในการเพิ่มความสะดวกสบาย การออกแบบที่นั่งด้านหลังแบบ 40:20:40 แยกปรับพับได้ ควบคุมด้วยคันบังคับควบคุม เป็นครั้งแรกของโลก
มาสด้า CX-5 มีระบบเครื่องเสียงที่ให้สุนทรียภาพที่ดีที่สุดรวมถึงระบบเครื่องเสียงพรีเมียมจาก BOSE® เป็นอุปกรณ์ให้เลือก ที่ให้คุณภาพสูง และประสิทธิภาพในการประหยัดพลังงานและมีน้ำหนักเบา แอมพลิไฟเออร์แบบดิจิตอลสมรรถนะสูงมีน้ำเบาเพียงแค่ 0.7 กก. AudioPilot® 2 และเทคโนโลยีอื่นๆ ที่ช่วยเพิ่มสุนทรียภาพการฟังในขณะขับขี่ ระบบ Centerpoint® Surround Sound เทคโนโลยีที่ส่งกระจายเสียงได้อย่างเป็นธรรมชาติและมีคุณภาพ
ความปลอดภัย
การออกแบบภายใน รูปทรงของเสาเอที่ลาดเอียงไปข้างหน้าเพื่อเพิ่มทัศนะวิสัยในการขับขี่ที่ดีในทางโค้งและตามแยกของถนน กระจกมองข้างที่ยึดติดเข้ากับตัวรถที่ประตู เพื่อให้เกิดช่องว่างระหว่างกระจกมองข้างและเสาเอเพื่อเพิ่มทัศนะวิสัยในรอบด้านของผู้ขับขี่ ฟังก์ชั่นการทำงานด้านความปลอดภัยที่ทันสมัยเพื่อเพิ่มความสามารถในการรับรู้และเฝ้าระวังของผู้ขับขี่ ระบบ Hill Launch Assist (HLA) จะช่วยควบคุมรถในการออกตัวจากหยุดนิ่งบนเนินหรือทางชัน ไม่ให้รถเกิดการลื่นไถลขณะเริ่มออกตัว ช่วยให้รถออกตัวได้อย่างปลอดภัยมั่นใจ
http://www.autospinn.com/wp-content/uploads//2013/11/ค๊อกพิท.jpg

โครงสร้างตัวถังสกายแอคทีฟ สกายแอคทีฟ-บอดี้ (SKYACTIV-BODY) ให้สมรรถนะด้านความปลอดภัยจากการชนปะทะ ในขณะที่โครงสร้างมีน้ำหนักเบาและมีความแข็งแกร่งสูง เป็นที่คาดการณ์ได้ว่ามาสด้า CX-5 ผ่านการทดสอบมาตรฐานความปลอดภัยที่เข้มงวดจากทั่วโลก และจะได้รับคะแนนในการทดสอบที่ดีที่สุด การออกแบบโครงสร้างที่สามารถซับและกระจายแรงได้ในหลายทิศทางและการออกแบบรูปทรงและหน้าตัดของเหล็กเสริมกันกระแทกด้านหน้าเพื่อรองรับพลังงานจากการชนปะทะอย่างมีประสิทธิภาพ การเพิ่มประสิทธิภาพความปลอดภัยจากการชนปะทะด้านข้างและด้านหลัง ถุงลมนิรภัยด้านหน้า ด้านข้าง ม่านถุงลมนิรภัย เป็นอุปกรณ์มาตรฐานในทุกรุ่น ที่นั่งและพนักพิงศีรษะด้านหน้าออกแบบด้วยระบบ Anti-whiplash ที่ช่วยป้องกันการบาดเจ็บที่คอจากการชนปะทะด้านหลัง
ราคาจำหน่าย ALL New Mazda CX-5
Mazda CX-5 รุ่น 2.0 C เครื่องยนต์เบนซิน 2000 ซีซี ราคาจำหน่าย 1,200,000 บาท
Mazda CX-5 รุ่น 2.0 S เครื่องยนต์เบนซิน 2000 ซีซี ราคาจำหน่าย 1,300,000 บาท
Mazda CX-5 รุ่น 2.5 S เครื่องยนต์เบนซิน 2500 ซีซี ราคาจำหน่าย 1,440,000 บาท
Mazda CX-5 รุ่น XDL เครื่องยนต์ดีเซล 2200 ซีซี ราคาจำหน่าย 1,670,000 บาท
สำหรับสีภายนอกมีให้เลือก 4 สี โดยสีทีใช้ในการเปิดตัวได้แก่ สีฟ้า สกายบลู ไมก้า สีภายนอกอื่นๆได้แก่ สีขาว อาคทิคไวท์, สีเงิน อลูมินั่ม เมทัลลิค, และ สีเทา เมทีเออ เกรย์ ไมก้า
นางสาวสุรีทิพย์ ละอองทอง โฉมทองดี รองประธานกรรมการบริหารฝ่ายการตลาด มาสด้า เซลส์ ประเทศไทย กล่าวว่า มาสด้าเตรียมกิจกรรมรองรับช่วงเปิดตัวเพื่อให้เกิดการรับรู้ในกลุ่มเป้าหมายอย่างรวดเร็ว โดยใช้มิวสิคมาร์เก็ตติ้ง ร่วมมือกับ iWAVE (ไอเวฟ) เป็นผู้สนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการให้แก่ศิลปินวงเพลง ป๊อบคุณภาพ ETC จัดคอนเสิร์ตครั้งใหญ่ฉลองครบรอบ 10 ปี ชื่อ “SKYACTIV SUV ALL NEW MAZDA CX-5 PRESENTS ETC 10 YEARS ANNIVERSARY BACK TO THE FUTURE CONCERT” ในวันเสาร์ที่ 30 พฤศจิกายน 2556 เวลา 19.00 น. อิมแพ็ค อารีน่า เมืองทองธานี พร้อมชมรถมาสด้า มาสด้า ซีเอ็กซ์-5 ใหม่ ที่หน้างาน และยังเป็นกิจกรรมเพื่อลูกค้ามาสด้าปัจจุบันซึ่งจะได้รับสิทธิพิเศษทั้งส่วนลดราคาบัตร และใช้ห้องรับรอง VIP ระหว่างรอชมคอนเสิร์ต ดูรายละเอียดของสิทธิพิเศษลูกค้ามาสด้ากับคอนเสิร์ตวง ETC ได้ที่เว็บไซต์และจุดจำหน่ายบัตรของไทยทิคเก็ตเมเจอร์ทุกสาขา
http://www.autospinn.com/wp-content/uploads//2013/11/ไฟหน้า_1.jpg

มาสด้าตั้งเป้าหมายของยอดจำหน่ายของ มาสด้า ซีเอ็กซ์-5 ใหม่ อยู่ที่ 10,000 คันต่อปี โดยเฉลี่ย และถือเป็นรถธงอีกรุ่นหนึ่งที่เข้ามาเสริมรุ่นรถที่มีจำหน่ายในตลาดเมืองไทยให้ครอบคลุมกลุ่มลูกค้าได้ทุกเซ็กเม้นต์ เนื่องจากกระแสตอบรับเทคโนโลยีสกายแอคทีฟถือว่ามาแรงอย่างมาก เป็นรถยนต์อีกหนึ่งรุ่นที่มีลูกค้าคอยติดตามความเคลื่อนไหวและสอบถามกันมามากที่สุด โดยเฉพาะก่อนการแนะนำสู่ตลาดอย่างเป็นทางการ มียอดสั่งจองรถรุ่นนี้จากลูกค้าผ่านผู้จำหน่ายเข้ามาสูงเกือบ 1,500 คัน

วันศุกร์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2556

กลยุทธ turn around ของไครส์เลอร์

ท่าน ผู้อ่านที่ติดตามรายงานข่าวเรื่องอุตสาหกรรมรถยนต์ในสหรัฐอเมริกาในช่วง วิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจเมื่อ 2-3 ปีก่อน รวมทั้งสภาวะการแข่งขันโดยรถญี่ปุ่นสามารถตีตลาดรถยนต์อเมริกาจนกระทั่งโรง งานอุตสาหกรรมรถยักษ์ใหญ่ เช่นเยนเนอรัลมอเตอร์, ไครสเลอร์, ฟอร์ด ถึงขนาดใกล้ล้มละลายนั้น จากข่าวล่าสุดเมื่อต้นปี 1983 นี้ปรากฎว่าโรงงานที่กล่าวถึงบางโรงงานสามารถฟื้นตัวมีกำไรพลิกความคาดหมาย ในช่วงระยะเวลาอันสั้น ทั้งนี้แม้จะมีปัจจัยเอื้ออำนวยโดยที่รัฐบาลอเมริกันให้การสนับสนุนเจรจากับ รัฐบาลญี่ปุ่นให้ลดโควต้านำเข้าก็ตาม ปัจจัยอันควรนำมาศึกษาในกรณีของบริษัท โครสเลอร์ น่าจะเป็นผลสำเร็จอันยิ่งใหญ่จากการ วางแผนยุทธศาสตร์ ทางธุรกิจ อย่างรอบคอบ รวมทั้งวางแผน ก้าวกระโดดจากเพื่อความอยู่รอดมาเป็นความเจริญก้าวหน้าของธุรกิจในอนาคต

ไครสเลอร์ วางแผนอย่างไร?

เมื่อ ลี. ไออาคอคค่า ได้รับตำแหน่งประธานกรรมการบริษัท ไครสเลอร์ คอร์ปอเรชั่นในปี 1979 เขาแทบหมดอาลัยตายอยากเพราะสถานการณ์ทุกอย่างดูมันสายเกินแก้ นอกเหนือจากมีรถไครสเลอร์, ดอดจ์, พลีมัธ ขายไม่ออกจอดทิ้งไว้จนสนิมกินเป็นพัน ๆ คันแล้ว ยังมีรถยนต์อีกหลายพันคันยังอยู่ในขบวนการผลิต, รวมทั้งเครื่องจักร, อุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ต้องหยุดรอการผลิต รวมทั้งชิ้นส่วนอีกมหาศาลที่เกลื่อนอยู่ตามโรงงานหลายแห่งของไครสเลอร์ สาเหตุหลักในช่วงนั้น นอกจากผลของสภาวะเศรษฐกิจและวิกฤตการณ์น้ำมันแล้ว รถยนต์ญี่ปุ่นได้แย่งส่วนตลาดในประเทศไปอย่างมหาศาลเป็นประการสำคัญ

ลี. ไออาคอคค่า พบว่าคุณภาพของผลิตภัณฑ์จากไครสเลอร์ก็ด้อยลง, การทำงาน, ประสิทธิภาพทางการผลิตก็ถอยหลัง, รัฐบาลในระยะนั้นไม่สนใจให้การสนับสนุนซ้ำยังทำตัวเป็นศัตรูเก็บภาษีสารพัด, เขาวิเคราะห์ว่าเป็นสถานการณ์ที่ตกต่ำที่สุดเท่าที่ไครสเลอร์เคยเผชิญมาใน อดีต

เมื่อได้ใช้เวลาศึกษาสถานการณ์ทั้งภายในประเทศและภายนอกแล้ว ลีได้วางแผนเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ เพื่อความอยู่รอดและมุ่งสำเร็จแบบก้าวกระโดดในระยะสั้น โดยมุ่งปรับปรุงแก้ไขโครงสร้างภายใน 6 ประการ:-

1. ตัดสินใจลดค่าใช้จ่ายทางด้านเงินเดือนอย่างเฉียบขาดทันที โดยลดคนงานจาก 160,000 คน เหลือ 80,000 คน โดยใช้คนงาน 80,000 คน ให้ทำงานรับผิดชอบในขอบเขตกว้างขึ้น เช่น เดิมเคยทำเฉพาะรถยนต์ ก็ให้ทำทั้งรถยนต์, รถโดยสาร รถบรรทุก เพื่อเพิ่มความสามารพทางการผลิต ลดพนักงานในระดับเสมียน และระดับบริหารลงครึ่งหนึ่งคือ จาก 40,000 คน เหลือ 21,000 คน คนงานที่สังกัดสหภาพ หรือไม่สังกัด ถูกขอร้องให้เสียสละผลประโยชน์รายได้บางส่วน เพื่อความอยู่รอดของบริษัท แผนลดค่าใช้จ่ายนี้ สามารถลดค่าใช้จ่ายได้ 1.2 พันล้านดอลล่าร์

2. บริษัทตัดสินใจลดค่าใช้จ่ายคงที่ลง 2 พันล้านเหรียญต่อปี โดยปิดโรงงานที่ล้าสมัยลง 20 โรง ในทางตรงกันข้าม ไครสเลอร์ เร่งปรับปรุงโรงงานที่เหลืออีก 40 แห่งให้เป็นโรงงานที่มีการผลิตทันสมัย เพื่อให้การผลิตมีประสิทธิภาพและเพิ่มความสามารถทางการผลิตให้สูงขึ้น การตัดสินใจในเรื่องนี้เป็นสัญญาณเตรียมก้าวกระโดดทางการผลิตให้เลยหน้าเจน เนอรัลมอเตอร์และฟอร์ด ยิ่งกว่านั้น ไครส์เลอร์ได้นำเอาหุ่นยนต์คอมพิวเตอร์ใช้ในการหล่อ เชื่อมการใช้ระบบควบคุมโดยคอมพิวเตอร์ รวมทั้งได้นำระบบการจัดการระบบของญี่ปุ่นมาใช้ ระบบควบคุมคุณภาพ เรียกได้ว่ามุ่งจัดระบบการผลิตการใช้เทคโนโลยีให้ทัดเทียมกับบริษัทรถยนต์ ใหญ่ ๆ ในญี่ปุ่นทีเดียว

3. ในเรื่องการควบคุมสินค้าคงคลังในระหว่างขบวนการผลิตไครสเลอร์ลดจำนวนชิ้น ส่วนประกอบต่าง ๆ ในระบบการผลิตให้เหลือหนึ่งในสาม คือจาก 75,000 รายการ ให้เหลือเพียง 20,000 รายการ ทำให้สามารถลดต้นทุนสต็อกสินค้าเหล่านี้ลงถึง 1 พันล้านเหรียญ

4. ไครสเลอร์ได้ทำโครงการเพื่อปรับปรุงคุณภาพสินค้าอย่างจริงจังโดยตลอดสายการ ผลิต เริ่มจากชิ้นส่วนแต่ละชิ้นจนถึงเป็นรถยนต์สำเร็จรูป โดยร่วมมือกับบริษัทผู้จำหน่ายอุปกรณ์ชิ้นส่วนต่าง ๆ (Suppliers) ด้วยการควบคุมดูแลอย่างใกล้ชิดและควบคุมทางสถิติอย่างรัดกุม

5. ในระบบบัญชีและการเงิน ได้มีการเปลี่ยนโครงสร้างบัญชีงบดุล (Balance Sheet) และการเงินใหม่หมด โดยการมุ่งเข้าทางแหล่งการเงินในตลาดหลักทรัพย์ เช่น ออก preferred stock 1.3 พันล้านเหรียญไปใช้หนี้ธนาคาร เจรจาขยายแหล่งเงินทุนให้มีโอกาสกว้างขึ้น หุ้นบริษัทก็เปลี่ยนจาก Preferred stock to common stock เพื่อขยายฐานเงินทุนให้เข้มแข็งขึ้น

6. เพื่อให้เป็นไปตามนโยบายก้าวกระโดดในอันที่จะพลิกโฉมหน้าจากธุรกิจที่ขาดทุน มาสู่ยุคแห่งความก้าวหน้าและรุ่งเรืองในระยะสั้น ฝ่ายจัดการได้วางแผนการตลาด หลังจากได้ศึกษา และวิจัยมาอย่างดีแล้ว โดยตั้งเป้ามุ่งความสำเร็จสูงสุด คือวางโครงการผลิตใน 5 ปี ข้างหน้าเป็นเงิน 6.6 พันล้านเหรียญ แม้จะเป็นเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่สูงสุดในประวัติการผลิตของไครสเลอร์ก็ตาม แต่ผลจากการขายที่ได้เปิดเผยต่อสาธารณะในต้นปี 1983 ไครสเลอร์ภายใต้การนำของลี กลายเป็นบริษัทที่มีรูปโฉมผิดแผกไปจากเดิม คือเป็นโรงงานเล็กลงครึ่งหนึ่ง เปรียบเทียบกับเมื่อ 3 ปีก่อน แต่กิจการและธุรกิจขยายตัวเป็นสองเท่า

อะไรเป็นความสำเร็จของไคร์สเลอร์?

สหรัฐอเมริกา ได้เผชิญสถานการณ์ทางเศรษฐกิจซบเซาอย่างหนักโดยเฉพาะในช่วง1979-1982 สถิติคนว่างงานสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ (เปรียบเทียบกับปี 1938) อัตราดอกเบี้ยสูงสุด Gross National Products ตกต่ำที่สุด อุตสาหกรรมใหญ่ล้มละลายมากที่สุด โดยเฉพาะอุตสาหกรรมรถยนต์ แต่ไครสเลอร์สามารถรายงานกำไรในการดำเนินการในไตรมาสแรกของปี 1982 โดยเฉพาะยิ่งในไตรมาส 2 มีกำไรถึง 107 ล้านเหรียญ ไตรมาสที่ 3 กำไร 10 ล้านเหรียญ ส่วนไตรมาสที่ 4 มีปัญหาคนงานและปรับปรุงเครื่องจักร โดยเฉพาะในช่วงต้นปี ไตรมาสแรกของปี 1983 ไครสเลอร์มีกำไรดำเนินการสูงสุดชนิดทำลายประวัติการณ์ตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท มา

แน่นอนคงไม่ใช่ปัจจัยอย่างหนึ่งอย่างใด โดยเฉพาะที่ทำให้ไครสเลอร์ประสบความสำเร็จอย่างน้อยเป็นการประสานความสำเร็จ ในทุก ๆ ด้าน ทั้งในด้านการผลิต การออกแบบสินค้า และการพัฒนาสินค้าการตลาด การศึกษาจากรายงานพบว่า ในช่วง 3 ปีที่ประธานฯ ไออา คอคค่า เข้ามาดำเนินงาน เขาเน้น "ความต้องเป็นหนึ่งในคุณภาพในอุตสาหกรรมรถยนต์ในอเมริกา" และสิ่งนี้เอง K-car ของไครสเลอร์มีคุณภาพและมาตรฐาน เทียบเท่าโตโยต้า และดัทสันของญี่ปุ่น แต่มีคุณภาพเหนือกว่า Escort/Linx of Ford and X-Car of G.M.

และเป็นการแน่นอนว่า ไครสเลอร์ได้ทำวิจัยตลาดก่อนออกอย่างจริงจังและลึกซึ้งเพื่อพยายามผลิต K-Car ให้ตรงตามความต้องการของผู้ใช้รถยนต์ในช่วงสภาวะเศรษฐกิจดังกล่าวให้ตรงเป้า ที่สุด

ผลการวิจัยออกมาชัดแจ้ง เช่นต้องการรถยนต์ที่มีคุณภาพดีที่สุด ประหยัดน้ำมัน ดีไซนด์รูปมี คุณค่ามากกว่ารถอื่น ๆ ต้องเป็นรถที่ใช้งานได้นาน ไม่เสียจุกจิก และต้องการให้บริษัทผู้ผลิตให้การค้ำประกันตลอดระยะเวลาที่ยังมีสัญญาซื้อ ขาย หรือสัญญาทางชำระเงินกันอยู่ ยิ่งกว่านั้นการดูแลรักษาและบริการหลังซื้อควรจะฟรี และประการสุดท้ายต้องเป็นรถที่กันสนิม (ไม่เกิดสนิมง่าย) ปรากฏว่าไครสเลอร์ผลิต K-Car และยี่ห้ออื่น ๆ ตามนี้ โดยเฉพาะการเสนอเงื่อนไขให้เป็นที่ถูกใช้ ผู้ซื้อรถ ซึ่งจะได้กล่าวต่อไปในแผนการตลาดอีกครั้งหนึ่ง

ในเรื่องความเป็นเอกทางด้านคุณภาพในอุตสาหกรรมรถยนต์ ไครสเลอร์ได้วางโครงการพัฒนา "คุณภาพ" รถยนต์ของตนให้เป็นเลิศโดยทำการศึกษาในเรื่อง จะลดต้นทุนการบำรุงรักษาของผู้ใช้รถอย่างไร และหาทางลดต้นทุนการให้การค้ำประกันแก่ผู้ใช้รถ กล่าวคือ ถ้าผลิตรถคุณภาพดีแล้ว ปัญหาค่าใช้จ่ายทั้งสองดังกล่าว บริษัทก็ไม่ต้องรับผิดชอบมาก ยิ่งกว่านั้น พยายามขจัดข้อยุ่งยากต่าง ๆ ในการใช้รถของลูกค้า ไครสเลอร์ประสบความสำเร็จเมื่อได้ออก K-Car เมื่อต้นปี 1982

และเพื่อพิสูจน์ว่า K-Car สามารถผลิตได้ตรงกับความต้องการอย่างแท้จริง ได้มีการทำการศึกษาเปรียบเทียบการลดค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ของผู้ใช้รถยี่ห้ออื่น ๆ ให้เห็นได้อย่างเด่นชัด เช่น เพิ่มความหนาในการป้องกันสนิมเป็นสองเท่า รวมทั้งใช้เทคนิคในการชุบสีรถใหม่ ศึกษาค่าใช้จ่ายในการซ่อมรถของคู่แข่ง โมเดล ปีเดียวกันในระยะเวลาใช้งานเท่ากัน เหลือเพียง 21% เปรียบเทียบกับรถคู่แข่ง ลดค่าใช้จ่ายในการให้ค้ำประกันคุณภาพรถ ในระหว่างใช้งานได้ต่อคันได้ถึง 25% ลดปัญหาจุกจิก จากการใช้รถต่อ ผู้ใช้ได้ถึง 35% และที่สำคัญ K-Cars เป็นรถที่สร้างความแตกต่างจากรถอื่นทางด้านเทคโนโลยี กล่าวคือ เป็นรถขับเคลื่อนล้อหน้า ประหยัดน้ำมันถึง 28 ไมล์ต่อแกลลอน และ K-Cars นั่งเองเป็นรถที่กำลังขายดีที่สุดในอเมริกาในขณะนี้ อันส่งผลกระทบต่อการขายของโตโยต้าและดัทสันในอเมริกาอย่างมากมาย ญี่ปุ่นเองถึงกับเตรียมป้องกันตลาดรถในประเทศอื่นของตนอยู่ในขณะนี้อย่าง ขะมักเขม้น

ทางด้านตลาด ไครสเลอร์ได้รับการต้อนรับจากตัวแทนจำหน่ายอย่างสูง เนื่องจาก K-Cars กลายเป็นผลิตภัณฑ์แห่งคุณภาพเลิศ และราคายุติธรรม ปรากฏว่าในช่วงปี 1982 มีตัวแทนจำหน่ายใหม่ ๆ ที่ขอเป็นตัวแทนเพิ่มขึ้นถึง 300 รายจากตัวแทนจำหน่ายเดิมที่มีอยู่ 3,700 รายทั่วสหรัฐอเมริกา เหตุที่ตัวแทนจำหน่ายให้การต้อนรับผลิตภัณฑ์ของไครสเลอร์มากขึ้นนั้น เป็นเพราะ K-Cars รวมทั้งพลีมัธ ดอดจ์ ขายดีมาก จากรายงานสถิติการจำหน่ายของตัวแทนจำหน่ายในปี 1982 ได้รับอัตราผลตอบแทนการลงทุนเพิ่มขึ้นถึง 100% ไครสเลอร์เองก็เปลี่ยนแปลงนโยบายหันมาสนับสนุนตัวแทนจำหน่ายอย่างจริงจัง (แบบญี่ปุ่น) โดยอัดฉีดให้การช่วยเหลือทางด้านเครดิตให้แก่ร้านค้าปลีก ถึง 700 ล้านเหรียญ ทำให้ตัวแทนจำหน่ายให้ความสนใจผลิตภัณฑ์ของไครสเลอร์มากขึ้น

สำหรับผู้ใช้รถ ไครสเลอร์เสนอโครงการที่น่าสนใจให้แก่ผู้ซื้อรถของไครสเลอร์เรียกว่า โครงการป้องกันและค้ำประกันค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นแก่ผู้ใช้รถของไครสเลอร์ เรียกโครงการนี้ว่า "โครงการ 5 และ 50 สามชั้น"

หลักการสามชั้น มีดังนี้

...ไครสเลอร์ จะรับผิดชอบเป็นเวลา 5 ปี หรือภายในระยะใช้รถไปแล้ว 5 หมื่นไมล์ หากเครื่องยนต์ และอุปกรณ์ต่าง ๆ เสีย โดยจะซ่อมให้ฟรี

... บริษัทจะเป็นผู้กำหนดและจัดการเรื่องการบำรุงรักษารถใหม่ที่ขายไปเป็นระยะเวลา 5 ปี หรือ 5 หมื่นไมล์

... จะค้ำประกันชิ้นส่วนภายนอกหรือตัวรถทุกชิ้น หากเกิดสนิมภายในระยะเวลา 5 ปี หรือ 5 หมื่นไมล์

ความสำเร็จจากปัจจัยอื่นที่สมควรนำมากล่าวถึงอีกประการหนึ่ง ก็คือจากการที่ไครสเลอร์ สามารถลดจุดคุ้มทุน (Break Even Point) ลงเหลือครึ่งจากการเปรียบเทียบกับปี 1979 ทั้งนี้เนื่องจากปี 1982 เป็นปีที่ไครสเลอร์มีกำไร นโยบายรักษาระดับจุดคุ้มทุนนี้จะเป็นนโยบายหลักที่ไครสเลอร์ยึดอย่างเหนียว แน่นต่อไป โดยบริษัทจะไม่ยอมขยายจุดคุ้มทุนให้สูงกว่านี้ แม้สภาวะธุรกิจและเศรษฐกิจจะเอื้ออำนวยก็ตาม โดยเฉพาะระบบการเงิน บริษัทพยายามให้มีเงินสดสะสมไว้ในปี 1982 ถึง 1 พันล้านเหรียญ หากจะต้องเผชิญสถานการณ์ยุ่งยากในอนาคต

แผนกลยุทธในอนาคต ไครสเลอร์วางแผนจะผลิตรถยนต์ใหม่ตามเทคโนโลยีที่ตนได้ประดิษฐ์คิดค้นไว้ คือรถสปอร์ตขับเคลื่อนล้อหน้า รถเล็กไครสเลอร์เลเซอร์ รถคาราแวน ประหยัดน้ำมัน รถเหล่านี้ใช้ Platform, floorplant suspension parts จากเครื่องจักรและโรงงานเดียวกันเพื่อลดต้นทุนการผลิต การลดต้นทุนในการรักษาสินค้าคงคลัง คาดว่าในปี 1983 จะใช้งบประมาณเพื่อค้นคว้าผลิตภัณฑ์ใหม่ 1.5 พันล้านเหรียญ การแก้ไขระบบค่าใช้จ่าย และแก้ไขเรื่องการเงิน รวมทั้งการลดขนาดของจุดคุ้มทุน และพยายามพัฒนาสินค้าใหม่ให้มีคุณภาพเป็นเลิศ รวมทั้งนโยบายการตลาดที่สนับสนุนตัวแทนจำหน่ายสามารถทำให้ไครสเลอร์ฟันฝ่า อุปสรรคที่ใกล้ล้มละลายมาเป็นบริษัทที่สามารถก้าวกระโดดข้ามขวากหนามเหล่า นั้น มาเป็นบริษัทมีกำไรก้าวหน้าเจริญรุ่งเรืองได้ ด้วยการใช้แผนกลยุทธทางธุรกิจอันเฉียบแหลมชาญฉลาด

อุทาหรณ์ของ ไครสเลอร์ เป็นกรณีการศึกษาตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่า ธุรกิจจะยืนยงอยู่ได้ อยู่ ที่ฝ่ายจัดการ และเจ้าหน้าที่ทุกระดับร่วมมือกันวางแผน และปฏิบัติอย่างร่วมมือร่วมใจและเสียสละ และเหนือสิ่งอื่นใด การวางแผนยุทธศาสตร์ของธุรกิจจะต้องมองอนาคตด้วยสายตาอันแหลมคม และสำรวจทุก ๆ มิติจึงจะทำให้ธุรกิจเจริญก้าวหน้ารุ่งเรืองอย่างสืบเนื่องตลอดไป


โรลส์รอยด์

“รถยนต์นั่งที่ดีที่สุดในโลกคือรถอะไร?” เป็นคำถามที่ยากจะหาคำตอบ แต่เมื่อใดก็ตามที่มีการพูดถึง”รถยนต์นั่งที่ดีที่สุดในโลก”ชื่อ โรลล์ส-รอยศ์ จะถูกกล่าวขานด้วยทุกครั้ง สัญลักษณ์ของรถยนต์นั่งระดับหรูและอัครฐานยี่ห้อนี้ เป็นตัวอักษร R สองตัว ล้อมรอบด้วยรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าลบมุม ด้านบนมีชื่อ ROLLS ด้านล่างมีชื่อ ROYCE อักษร R สองตัวดังกล่าวนี้ ก็คือักษรย่อของชื่อ ROLLS และ ROYCE ซึ่งเป็นนามสกุลของชาวอังกฤษ 2 คน ที่ร่วมกันก่อตั้งกิจการผลิตรถยนต์โรลล์ส-รอยศ์นั่นเอง นอกจากสัญลักษณ์ดังกล่าวแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่เป็นสัญลักษณ์ของโรลล์ส-รอยศ์ และเป็นที่รู้จักกันดีทั่วโลกในชื่อ”THE SPIRIT OF ECSTASY” หรือ “จิตวิญญาณแห่งความปิติ” โรลล์ส-รอยศ์มอบหมายให้นายชาร์ลส์ โรบินสัน ไซค์ส์ (CHARLES ROBINSON SYKES)เป็นผู้ออกแบบ โดยจินตนาการถึงนางฟ้าองค์น้อยที่หลงใหลกับการเดินทางโดยรถยนต์ และได้บินลงมาประทับบนหน้าหม้อรถโรลล์ส-รอยศ์ เพื่อเริงรื่นกับอากาศอันบริสุทธิ์ หุ่นนางฟ้า”THE SPIRIT OF ECSTASY” นี้นับเป็นสัญลักษณ์รถยนต์ที่มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักกันดีโดยทั่วไปชาร์ลส์ สจวร์ท โรลล์ส (DHARLES STEWART ROLLS ) และ เฟรเดริค เฮนรี รอยศ์ (FREDERICK HENRY ROYCE) เป็นชาวอังกฤษด้วยกันทั้งคู่ แต่มีฐานะทางครอบครัวและระดับการศึกษาที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงโรลล์สอยู่ในตระกูลผู้สูงศักดิ์ และสำเร็จการศึกษาด้านวิศวกรรมจากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์อันมีชื่อเสียง ส่วยรอยศ์เกิดในครอบครัวของสามัญชนผู้ยากจน ในวัยเด็กยังชีพด้วยการขายหนังสือพิมพ์ตามท้องถนน แต่ด้วยความมานะพยายามและสู่ชีวิต เขาได้เรียนรู้งานวิศวกรรมเบื้องต้น วิชาภาษาต่างประเทศ วิชาคำนวน และวิชาไฟฟ้าจนสามารถเปิดบริษัทของตนเองขึ้นมาได้ โชคชะตาชักนำให้คนทั้งสองได้พบกัน และร่วมกันก่อตั้งบริษัทโรลล์ส-รอยศ์ ลิมิเทด (ROLLS-ROYCE LTD.) ขึ้นเมื่อเดือนมีนาคม 1906 ด้วยเงินลงทุน 60,000 ปอนด์ และนั่นเองคือจุดกำเนิดของรถยนต์นั่งระดับหรูหราอัครฐานและคู่ควรกับคำว่า”รถยนต์นั่งที่ดีที่สุดในโลก” นับแต่ก่อตั้งกิจการตราบจนปัจจุบัน โรลล์ส-รอยศ์ผลิตรถยนต์ออกจำหน่ายทั้งในชื่อ โรลล์ส-รอยศ์ และ เบนท์ลีย์ รวมทั้งสิ้น 43 รุ่น สำหรับรถที่ผลิตออกจำหน่ายในปัจจุบันในชื่อโรลล์ส-รอยศ์ มีอยู่เพียง 3 รุ่น คือ ซิลเวอร์ สปิริททู(SILVER SPIRIT II) ซิลเวอร์ สเปอร์ ทู (SILVER SPUR II) และ คอร์นิช ธรี (CORNICHE III) ในปัจจุบัน บริษัท โรลล์ส-รอยศ์ มอเตอร์ คาร์ส์ ลิมิเทด(ROLLS-ROYCE MOTOR CARS LIMITED) เป็นบริษัทในเครือของกลุ่มบริษัท วิกเคอร์ กรุพ ซึ่งมีกิจการกว้างขวาง ทั้งในด้านอุปกรณ์การแพทย์ วิศวกรรมทางทะเล ยานเกราะ อุตสาหกรรมโลหะ และอุตสาหกรรมยาน

เฟียต

ในบรรดารถยนต์อิตาลีหลาย ๆ ยี่ห้อ ยี่ห้อทั้งที่เคยมีจำหน่ายในประเทศไทยและไม่มี น่าจะกล่าวได้ ว่า รถที่ผู้ใช้รถคุ้นเคย กันมากที่สุดคือ เฟียต นั่นเอง เฟียต เปลี่ยนสัญญา ลักษณ์ มาแล้วหลายครั้ง สัญญาลักษณ์ปัจจุบัน ไม่มีความ หมายอะไรพิเศษ นอกจาก อักษร FIAT ซึ่งย่อมาจาก FABBRICA ITALANA AUTOMOBILI TORINO ที่แปลว่า โรงผลิตรถยนต์ แห่งเมืองตูริน อันเป็นชื่อ เดิมที่ใช้เมื่อก่อตั้งกิจการ 93 ปีก่อน รถเฟียตรุ่นแรกออกสู่ตลาด เมื่อปี 1899 และนับแต่นั้นจน ปัจจุบัน เฟียตผลิตรถออกสู่ ตลาดไปแล้วไม่น้อยกว่า 320 รุ่น ผลงานส่วนใหญ่ ของเฟียตเป็น รถยนต์นั่ง ขนาดเล็ก เนื่องจากเฟียตเป็นผู้ผลิตรถยนต์ที่เชื่อมันในปรัญชญา ผลิตรถระดับชาวบ้านที่ใช้งานได้คุ้มราคา ปัจจุบัน เฟียตไม่ได้มีฐานะเป็นเพียงผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่สุดของอิตาลีเท่านั้น หากมีฐานะเป็นกลุ่มบริษัทอุสาหกรรมที่ครอบคลุมไปทั่วทุกตารางนิ้วของแผ่นดินอิตาลี กิจการของฟียตมีตั้งแต่การผลิตรถยนต์นั่ง รถบรรทุก รถโดยสาร อุปกรณ์การก่อสร้าง อุปกรณ์การเกษตร การพลังงาน การพิมพ์ การขนส่งฯลฯ จนเป็นที่กล่าวขานกันว่าเฟียตคือ มาเฟียของอิตาลี ในส่วนของอุสาหกรรมรถยนต์ กล่าวได้ว่า เฟียตกำอุสาหกรรมการผลิตรถยนต์ในอิตาลีไว้ในมือทั้งหมดเพราะบริษัทรถยนต์แทบทุกรายไม่ว่าจะเป็น ลันชิอา-อัลฟา โรเมโอ-เฟร์รารี-เอาโต บิอังคี หรือ อินโนเซนตีล้วนแล้วแต่บริษัทที่อยู่ในเครื่อข่ายของเฟียตทั้งสิ้น ปี ค.ศ. 1990 กลุ่มเฟียตผลิตรถยนต์ออกสู่ตลาดทั่วโลกทั้งสิ้นประมาณ 2,162,000 คัน เฉพาะในตลาดยุโรปตะวันตก กลุ่มเฟียตครองส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับสองรองจากกลุ่มโฟล์คสวาเกน/เอาดี/เซอาท ผลงานของเฟียต คว้าตำแหน่ง รถแห่งปียุโรป (EUROPEAN CAP OF THE YEAR ) รวม 5 ครั้ง คือเฟียต 124 ( ปี 1967 ) เฟียต 128 ( ปี 1970 ) เฟียต 127 ( ปี 1972 ) เฟียต อูโน (ปี 1984 ) และ เฟียต ติโป ( ปี 1989 ) ปัจจุบัน เฟียตผลิตรถยนต์นั่งออกจำหน่ายในชื่อเฟียตรวม 6 อนุกรม รถที่ได้รับความนิยมสูงสุด คือ เฟียต อูโน รองลงไปคือ เฟียต ติโปและเฟียต แพนดา